สพฐ.ปลื้ม นโยบายจ้างครูธุรการ ส่งผลให้คะแนน O-NET สูงขึ้น

249

เลขาธิการ กพฐ. เปิดผลวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลให้คะแนนโอเน็ตสูงขึ้น ยืน 1 นโยบายลดภาระงานครูเพิ่มครูธุรการ จ่อ ให้เงินท็อปอัพพิเศษเฉพาะกลุ่มโรงเรียนเพื่อเติมเต็มคุณภาพการศึกษาให้เท่าเทียม

วันนี้ (2 เม.ย.) นายบุญรักษ์ ยอดเพชร เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ว่า ที่ประชุมได้สรุปรายงานผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (โอเน็ต) ปีการศึกษา 2561 ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มัธยมศึกษาปีที่ 3 และ ม.6  ซึ่งมีจำนวนผู้เข้าสอบโอเน็ตทั่วประเทศระดับ ป.6 จำนวน 443,839 คน ม.3 จำนวน 474,487 คน และม.6 จำนวน 287,643 คน พบภาพรวมเป็นที่น่าพอใจแต่ก็ยังไม่ถึงตามที่เราคาดหวังไว้ โดยป.6 เด็กมีคะแนนสูงขึ้นทุกวิชายกเว้นวิชาคณิตศาสตร์  ม.3 มีคะแนนเพิ่มขึ้นทุกวิชายกเว้นวิชาภาษาอังกฤษ และ ม.6 เพิ่มขึ้นทุกวิชาเช่นเดียวกันยกเว้นวิชาภาษาไทย โดยในส่วนม.6 วิชาภาษาไทยที่มีคะแนนต่ำลงนั้นก็อาจเป็นไปได้ว่าเด็กกลุ่มนี้มุ่งมั่นเรียนเพื่อสอบแข่งขันต่อระดับอุดมศึกษาจึงเน้นหนักไปที่วิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์  ซึ่งในจำนวนที่มีคะแนนโอเน็ตสูงขึ้นได้รวมไปถึงโรงเรียนในกลุ่มเกาะแก่ง โรงเรียนพื้นที่สูง โรงเรียนที่จัดการเรียนรู้ทางไกลผ่านดาวเทียม (ดีแอลทีวี) โรงเรียนประชารัฐ และโรงเรียนในโครงการPartnership School  ทั้งนี้ในวิชาที่มีคะแนนต่ำลงสพฐ.จะใช้โครงการดีแอลทีวีเข้ามาช่วยเติมเต็มมากขึ้น เพราะเห็นลัพธ์ที่เกิดขึ้นชัดเจนกับโรงเรียนที่ได้คะแนนโอเน็ตเพิ่มขึ้นจากการใช้โครงการ DLTV

เลขาธิการ กพฐ. กล่าวต่อไปว่า สำหรับผลการวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลให้คะแนนโอเน็ตสูงขึ้นจากการประเมินของสำนักติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ของสพฐ. สำรวจจากครู ผู้บริหารสถานศึกษา ศึกษานิเทศก์ และผู้ปกครอง จำนวน 29,487 คน พบว่า นโยบาย 3 เรื่องของสพฐ.ส่งผลให้คะแนนโอเน็ตสูงขึ้น ได้แก่ นโยบายการลดภาระงานครูเพิ่มคุณภาพผู้เรียน(จัดสรรอัตราครูธุรการ)  นโยบายระบบเครือข่ายไฮสปีดอินเตอร์เน็ต และการลงพื้นที่ของผู้อำนวยการเขตฯ ส่วนโครงการที่ส่งผลให้คะแนนโอเน็ตสูงขึ้นได้ การพัฒนาการอ่านออกเขียนได้ การพัฒนาคุณภาพการศึกษาด้วยระบบดีแอลทีวี การพัฒนาครูรูปแบบครบวงจร และการลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้

“ทั้งนี้ในปีการศึกษาหน้าเราจะใช้วิธีการบริหารงานแบบจิ๊กโซวโมเดล คือ จะแบ่งโรงเรียนออกเป็นกลุ่มย่อย เพื่อให้มีเป้าหมายของการดำเนินการ ซึ่งจะให้มีผู้รับผิดชอบแต่ละกลุ่มโรงเรียน โดยจะดูว่าโรงเรียนกลุ่มไหนยังขาดอะไรที่สพฐ.จะลงไปเติมเต็มให้ครบ เช่น ขาดงบประมาณ ขาดแคลนครู หรือเทคนิคการเรียนการสอน เป็นต้น  ทั้งนี้แม้โรงเรียนจะมีเงินอุดหนุนรายหัวเด็กที่ยังได้รับการอุดหนุนเท่าเดิมแล้ว แต่ต่อจากนี้ไปการขับเคลื่อนนโยบายต่างๆเราจะมีเงินท็อปอัพพิเศษลงไปให้เป็นไปตามเฉพาะกลุ่มโรงเรียนอีกด้วย เหมือนเป็นการเติมเต็มงบประมาณพิเศษซึ่งใช้เป็นงบปกติในการดำเนินการ เพื่อเพิ่มคุณภาพการศึกษาได้เกิดขึ้นอย่างเท่าเทียมในอนาคต” นายบุญรักษ์ กล่าว

Facebook Comments
Source เดลินิวส์ ออนไลน์

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save

You cannot copy content of this page